เผยโฉมสร้อยเพชร 300 กะรัต ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก่อนเปิดประมูล

[ibl]

เผยโฉมสร้อยเพชร 300 กะรัต ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก่อนเปิดประมูล
น้ำหนัก 300 กะรัต คาดน่าจะถูกประมูลไปในมูลค่าสูงถึง 2.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สร้อยเพชรน้ำหนัก 300 กะรัต เป็นไฮไลท์สำคัญของงานประมูลที่สำนักประมูลโซเธอบีส์ กำลังจะนำออกมาประมูลในชุด "Royal and Noble" ในนครเจนีวา เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยสร้อยเพชรเส้นนี้นับเป็นของโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยเป็นสร้อยของขุนนางชั้นสูง ซึ่งเคยถูกใส่ไปร่วมในพิธีราชาภิเษกอย่างน้อยสองครั้ง

โดยสร้อยคอดังกล่าวมีเพชรเม็ดใหญ่เรียงรายเป็นแถว แถวละ 3 เม็ด และมีเพชรเป็นพู่อยู่ส่วนปลายทั้งสองข้าง สามารถสวมได้ 2 แบบ ทั้งแบบพาดไหล่โดยไม่ต้องพันส่วนปลาย หรือจะพันทบในส่วนปลายก็ได้ โดยทางสำนักประมูลเชื่อว่า สร้อยเพชรล้ำค่าชิ้นนี้น่าจะถูกประมูลไปในราคาไม่ต่ำกว่า1.8 ล้านดอลลาร์ - 2.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Bl88bets

อันเดรส ไวท์ คอร์รีล หัวหน้าการจัดงานประมูลชุด Royal and Noble ระบุว่า สร้อยคอเส้นนี้ มีเพชรทั้งสิ้น 500 เม็ด โดยเพชรแต่ละเม็ดจะมีน้ำหนักไล่เรียงตั้งแต่ 1 กะรัตไปจนถึง 1 กะรัตครึ่ง โดยมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 300 กะรัต นับว่าเป็นเครื่องประดับที่หาได้ยากในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 เพราะไม่ค่อยจะพบเครื่องประดับชิ้นไหนที่มีจำนวนเพชร และน้ำหนักกะรัตที่มากขนาดนี้ แถมด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้สร้อยเส้นนี้มีความน่าสนใจมาก

นอกจากนี้เพชรเหล่านี้น่าจะมาจากเหมือง Golconda ของอินเดีย เป็นหนึ่งในเพชรที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และขึ้นชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้โดยเหมืองดังกล่าวปิดตัวลงไปกว่า 200 ปีแล้ว ทำให้อัญมณีที่มาจากเหมืองดังกล่าวยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้นในปัจจุบัน

มีความพยายามในการเชื่อมโยง ว่าเพชรบางส่วนของสร้อยเส้นนี้อาจจะเป็นเพชรจากสร้อยในคดีอื้อฉาวที่ทำให้พระนางมารี อองตัวเน็ต ถูกใส่ความจนเสื่อมเสียชื่อเสียง เนื่องจากเพชรแต่ละเม็ดล้วนมีคุณภาพดี และตามประวัติศาสตร์สร้อยเส้นดังกล่าวก็ถูกนำมาแยกชิ้นส่วน และส่งมายังอังกฤษ แต่ยังไม่มีการยืนยันข้อมูลเรื่องนี้จากโซเธอบีส์แต่อย่างใด แต่ความลึกลับดังกล่าวก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้แก่สร้อยคอล้ำค่าเส้นนี้

ทั้งนี้ สร้อยเพชรเส้นนี้จะถูกนำไปจัดแสดงในงานแสดงนิทรรศการระดับโลก โดยจะไปจัดแสดงที่ฮ่องกง นิวยอร์ก สิงคโปร์ และไทเป ก่อนจะกลับมาเปิดประมูลในนครเจนีวา ในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้.